Maserati David Beckham with GT One Off Luce

มาเซราติ กรันทูริสโม เฉิดฉายที่เมืองมิลาน เทศกาลดีไซน์วีค


มาเซราติ จัดงานสุดพิเศษ พร้อมการปรากฏตัวของคนดังระดับโลก อย่าง David Beckham และ Hiroshi Fujiwara เพื่อร่วมฉลอง มาเซราติ กรันทูริสโม โฉมใหม่ พร้อมเปิดตัวรุ่นตกแต่งพิเศษ Fuoriserie One Off 3 เวอร์ชั่นและรุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี

มิลาน, 26 เมษายน 2566 – มาเซราติ ได้จัดงานเปิดตัว มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่นใหม่ล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 19 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ณ โชว์รูม มาเซราติ แห่งใหม่ใจกลางเมืองแฟชั่นระดับโลกของประเทศอิตาลี โดยภายในงานฯ นอกจากจะมีการรวมตัวของเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงจากแวดวงแฟชั่น วงการบันเทิง กีฬา และดนตรีแล้ว ยังมีการเปิดตัว มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองการครบรอบ 75 ปี และรุ่นพิเศษอีก 3 คัน ได้แก่ มาเซราติ กรันทูริสโม One Off Prisma กับ กรันทูริสโม One Off Luce ที่ออกแบบโดย Maserati Centro Stile และ กรันทูริสโม One Off Ouroboros ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากแรงบันดาลใจสุดแรงกล้าของ Hiroshi Fujiwara ดีไซเนอร์ชั้นนำแห่งวงการสตรีทแฟชั่นของประเทศญี่ปุ่น 

พร้อมกันนี้ David Beckham ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Global Brand Ambassador ของมาเซราติ ยังได้เข้าร่วมงานดังกล่าวอีกด้วย เพื่อร่วมสัมผัส มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่นใหม่อย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับ Hiroshi Fujiwara ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น Dardust นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวอิตาลี และ Matilda De Angelis นักแสดงสัญชาติอิตาลี เพื่อร่วมกันฉลองความสำเร็จของการเปิดตัวซูเปอร์คาร์ระดับไอคอนรุ่นดังกล่าวแห่งค่ายตรีศูลโดย มาเซราติ กรันทูริสโม ได้ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2490 พร้อมความโดดเด่นในด้านการขับขี่ระยะทางไกล

สำหรับรถมาเซราติ กรันทูริสโม One Off ตัวต้นแบบทั้งสามคัน ที่ถูกออกแบบภายใต้โปรแกรม Fuoriserie จะมีทั้งรถยนต์คันจริงและในรูปแบบ 3D ในขณะที่มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่นครบรอบ 75 ปี จะมีการตกแต่งด้วยดีไซน์ใหม่ให้มีความโดดเด่น เพื่อยกระดับความหรูหรา และความพิเศษมากยิ่งขึ้น

Maserati GT Fuoriserie One Off PRISMA LUCE

มาเซราติ กรันทูริสโม One Off Prisma นับเป็นผลงานฝีมือสุดประณีต ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเน็ททูโน (Nettuno) เบนซิน วี 6 สูบ สะท้อนถึงต้นกำเนิดของรถรุ่นนี้ โดยทุกรายละเอียดของตัวรถผ่านฝีมือการรังสรรค์ที่มีความประณีตในการการเลือกเฉดสี และการตกแต่งด้วยตัวอักษร กว่า 8,500 ตัวที่บอกเล่าชื่อรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของมาเซราติ โดยตัวรถแต่งแต้มด้วย 14 เฉดสี โดย 2 เฉดสีจากทั้งหมดจะบ่งบอกถึงพลังแห่งอนาคต ในขณะที่ 12 เฉดสี เป็นสีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอดีตของ มาเซราติ กรันทูริสโม อาทิ สีแดง Amaranto อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น Maserati A6 1.500 ปี 2490 หรือสีทอง Oro Longchamps ของรุ่น Maserati Khamsin ปี 2516 

มาเซราติ กรันทูริสโม One Off Luce ที่พัฒนาขึ้นจากนวัตกรรมซูเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Folgore ซึ่งบ่งบอกถึงการค้นคว้าและการวิจัยอย่างต่อเนื่องของมาเซราติ การตกแต่งภายนอกมีการเคลือบด้วยสีสะท้อนแบบกระจกที่ตัวถัง พร้อมแกะสลักลวดลายด้วยเลเซอร์ และลงสีด้วยสีที่ทำให้รถดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง ส่วนวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในได้นำเสนอสัมผัสแห่งอนาคต ด้วยการใช้ไนลอนชนิดพิเศษ ECONYL® ที่มอบความสวยงาม และยังโดดเด่นด้วยตกแต่งด้วยสีน้ำเงินแบบโมโนโครมตามสีของท้องทะเล ภายในมีความโดดเด่นด้วยเส้นสายลายกราฟิกบริเวณคอนโซลกลาง และการใช้เลเซอร์สร้างลวดลายแบบไล่ระดับสีที่เบาะพนักพิง ผลลัพธ์ที่ได้คือการตกแต่งขั้นสูงที่สร้างความโดดเด่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อสื่อถึงความแข็งแกร่งและจิตวิญญาณของ มาเซราติ พร้อมด้วยความงดงามของการดีไซน์ที่น่าอัศจรรย์

Klaus Busse หัวหน้าแผนกดีไซน์ของมาเซราติ เผยว่า “มาเซราติ กรันทูริสโม Prisma คือผลงานที่มีความโดดเด่นและรวบรวมทุกความสำเร็จของมาเซราติตลอด 75 ปี และ กรันทูริสโม รุ่น Luce คืออนาคตของเรา รถทั้งสองคันนี้ถือเป็นความสมดุล และความสมบูรณ์แบบด้านนวัตกรรม ส่วน กรันทูริสโม รุ่น Prisma แสดงถึงความงดงามและความเป็นเลิศในด้านศิลปะ ที่ผสานความเชี่ยวชาญ ตามแบบฉบับช่างฝีมือชาวอิตาลี ในขณะที่ กรันทูริสโม รุ่น Luce เน้นการสื่อให้เห็นถึงอีกขั้นของเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ผสานวิสัยทัศน์และความสร้างสรรค์ของชาวอิตาลี เข้าไว้ด้วยกัน”

และจากการที่ มาเซราติ เป็นพันธมิตรกับ Fragment แบรนด์ดีไซน์เนอร์สัญชาติญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี 2564 ก็ได้เปิดตัว กรันทูริสโม One Off Ouroboros กรันทูริสโม ดีไซน์แบบ 3D ที่ถูกออกแบบด้วยฝีมือของ Hiroshi Fujiwara ผู้นำสตรีทแฟชั่น โดยเน้นการตีความร่วมสมัยของกรันทูริสโมในรูปแบบของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมสื่อถึงการเชื่อมโยงและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดย Hiroshi Fujiwara ได้ผสมผสานการออกแบบ โดยอาศัยองค์ประกอบที่โดดเด่นของ มาเซราติ รุ่นต่าง ๆ ในอดีต อย่างการนำกระจังหน้าจากรุ่น A6GCS Berlinetta Pininfarina และช่องระบายอากาศข้างตัวรถจากรุ่น 3500 GT ซึ่งนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามแห่งยุค 50 พร้อมด้วยไฟหน้าทรงกลมแบบปิดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถแข่งในยุค 60 เช่น มาเซราติ รุ่น Tipo 151 ในขณะที่ล้อฟอร์จได้รับแรงบันดาลใจจากล้อแม็กนีเซียมอัลลอยด์รุ่นบุกเบิกแบรนด์ Bora ในยุค 70 และแผงไฟท้ายที่มาจากการออกแบบที่ล้ำสมัยของรุ่น Shamal ในช่วงยุค 80 และ 90

Hiroshi Fujiwara ผู้อยู่เบื้องหลังของแบรนด์ Fragment เผยว่า “มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่น Ouroboros คือภาพสะท้อนของวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงการออกแบบของ มาเซราติ ในยุคต่าง ๆ รวมถึง กรันทูริสโม ในรุ่นปัจจุบัน พวกเราทำงานร่วมกับ มาเซราติ เพื่อผสานองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและสมรรถนะขั้นสูงสุดในปัจจุบันของ มาเซราติ เข้ากับการดีไซน์ระดับไอคอนเพื่อขับเคลื่อนความเป็นตำนานให้คงอยู่ตลอดไป”

ส่วนหนึ่งของการทำงานร่วมกับแบรนด์ Fragment ในงานเปิดตัวครั้งนี้ Hiroshi Fujiwara ยังได้จัดแสดงสินค้าคอลเลคชั่นล่าสุด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การเดินทางสุดหรูด้วยรถยนต์ มาเซราติ กรันทูริสโม พร้อมกับการเผยโลโก้ใหม่ที่ผสานกันระหว่าง มาเซราติ และแบรนด์ Fragment ที่ได้รับแรงบันดาลใจที่มีกลิ่นอายของโมเดน่าและโตเกียว เมืองบ้านเกิดของทั้งสองแบรนด์ โดยสินค้าในคอลเลคชั่นนี้ประกอบไปด้วยเสื้อยืด เสื้อสเวตเตอร์ กางเกงวอร์มสีขาวและสีดำ หมวกแก๊ป พวงกุญแจ มาเซราติรุ่น กรันทูริสโม รุ่น A6 1.500 คันแรกของโลก ถุงผ้า แผนที่ประเทศอิตาลีที่ถูกออกแบบโดย Yorgo Tloupas สำหรับนักสะสมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีผ้าห่มที่ทำจากผ้าแคชเมียร์ และเก้าอี้กับโต๊ะพกพาที่สร้างสรรค์ร่วมกับ Helinox คอลเลคชั่นนี้ เหมาะสำหรับใช้ช่วงแวะพักระหว่างทริปการเดินทางด้วย มาเซราติ ที่ทั้งสมบูรณ์แบบและน่าจดจำ ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะถูกวางจำหน่ายบนเว็บไซต์ Maserati.com และที่โชว์รูมมาเซราติที่ร่วมรายการ ตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2566 เป็นต้นไป

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน คือ มาเซราติ กรันทูริสโม รุ่นเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ที่ได้สร้างความเย้ายวนใจอย่างยิ่งภายในงานฯ โดยรถยนต์รุ่นพิเศษนี้มีให้เลือก 4 รุ่น เริ่มด้วย รุ่นเครื่องยนต์แบบสันดาบที่มีให้เลือกทั้งสีเทา Grigio Lamiera หรือ สีดำ Nero Cometa และแบบเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Folgore สีน้ำตาล Rame Folgore และสีน้ำเงิน Blu Inchiostro ซึ่งแต่ละสีจะผลิตขึ้นเพียงสีละ 75 คันเท่านั้น

โดยผลงานชิ้นเอกที่ถูกนำเสนอทั้งในรูปแบบรถคันจริง และแบบ 3D ทั้งหมดนี้ ได้สะท้อนความมุ่งมั่นของ มาเซราติ ที่พร้อมขับเคลื่อนไปสู่อนาคต และยังเป็นยนตรกรรมที่ถูกสร้างขึ้นแบบ Fuoriserie ที่ให้ลูกค้าได้แสดงตัวตนที่ชัดเจนผ่านการออกแบบและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร โดยหลังการเปิดตัวที่งาน Milan Design Week 2023 แล้ว ยนตรกรรม มาเซราติ ทั้งหมดนี้จะเดินทางไปทั่วโลก เพื่อร่วมฉลองการเปิดตัว มาเซราติ กรันทูริสโม และเปิดโอกาสให้ผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมของ มาเซราติ ได้ร่วมสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

เกี่ยวกับ มาเซราติ เอส.พี.เอ.

มาเซราติ คือ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยสไตล์, เทคโนโลยีล้ำสมัย และตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร สะท้อนความเฉลียวฉลาด รสนิยมอันลุ่มลึก สะท้อนมาตรฐานแห่งการเป็นยนตรกรรมระดับโลก และด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ในแต่ละเซกเมนต์ มาเซราติ ได้กำหนดนิยามใหม่ ให้กับรถสปอร์ตของอิตาลี ในแง่ของการออกแบบ, ประสิทธิภาพ, ความสะดวกสบาย, ความสง่างาม และความปลอดภัย ปัจจุบันมีจำหน่ายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) นับเป็นยนตรกรรมเรือธงของค่ายตรีศูล สมทบด้วยรุ่นกิบลี่ (Ghibli), เลอวานเต้ (Levante) เอสยูวีรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ และ เกรคาเล่ (Grecale) ซึ่งเป็นเอสยูวีที่มาพร้อมแนวคิด ‘Everyday Exceptional’ ทุกรุ่นต่างโดดเด่นด้วยการใช้วัสดุที่มีคุณภาพชั้นสูง และการออกแบบทางเทคนิคอันยอดเยี่ยม มาเซราติ กิบลี่, เลอวานเต้ และเกรคาเล่ มีหลายทางเลือกขุมพลัง อาทิ เบนซินไฮบริด 4 สูบ, เบนซิน วี 6 สูบ ไปจนถึงเบนซิน วี 8 สูบ ทั้งในแบบขับเคลื่อนล้อหลังหรือขับเคลิ่อน 4 ล้อ โดยมาพร้อมดีเอ็นเออันเป็นเอกลักษณ์ของยนตรกรรมค่ายตรีศูล ขณะที่รุ่นสูงสุด คือ ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ เอ็มซี 20 (MC20) และ เอ็มซี20 แชร์โล (Cielo) ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เน็ททูโน (Nettuno) ที่ได้นำเทคโนโลยีจากรถแข่งฟอร์มูลาวัน มาใช้กับยนตรกรรมในสายการผลิตเป็นครั้งแรก