Router เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้เรานั้นสามารถเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะได้รับ Router มาพร้อมกับแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่เราติดตั้งจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว แต่ทำไมเราต้องเลือกซื้ออันใหม่กันนะ ? เพราะว่า Router ที่แถมมาให้พร้อมกับแพ็คเกจต่าง ๆ นั้นไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานได้แบบ 100% บางรุ่นที่ได้รับมาอาจไม่สามารถกระจายสัญญาณได้ทั่วทั้งบ้าน, มีการปล่อยสัญญาณแค่ 2.4GHz เพียงอย่างเดียว, พอร์ตการเชื่อมต่อที่ส่งข้อมูลได้น้อยกว่าที่ได้รับมา ฯลฯ แล้วยิ่ง Router เป็นอุปกรณ์ที่เราเปิดการใช้งานแล้วมักจะไม่ได้สนใจมันเลยจนกว่าจะมีปัญหาเน็ตหลุด เน็ตกระตุก ดังนั้นการมี Router ที่ดีและมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่หลาย ๆ คนมักมองข้ามเพราะ Router ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะมีการหมุนเวียนพลังงานที่ดี แข็งแกร่งด้วยตัวเองแถมยังกระจายสัญญาณได้แบบไม่ติดขัดไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของบ้าน วันนี้พวกเรา Mercular.com เลยจะมาบอกเคล็ดลับวิธี เลือก Router ยังไงให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปดูกันเลยครับ
สเปคของ Router
ที่มา Canva
ความเร็วที่ส่งออกมาได้ของ Router
แน่นอนครับพอพูดถึง Router สิ่งที่ต้องดูเป็นอย่างแรกเลยคือเรื่องของความเร็วที่สามารถทำได้ซึ่งจะบอกอยู่ในชื่อรุ่นของ Router ทุกตัวกันอยู่แล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ดังนี้ครับ
- ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ตามหลังชื่อของ Router นั้น ๆ จะแสดงถึงมาตรฐานของ Wi-Fi ที่ Router ตัวนั้นสามารถกระจายออกมาได้โดย AC หมายถึง Wi-Fi 5 ลงไป, AX หมายถึง Wi-Fi 6 และ 6E ลงไป สิ่งที่อยากให้ทุกคนมองหาใน Router ตัวใหม่ของคุณเลยคือตัว AX เพื่อมาตรฐาน Wi-Fi 6 ที่มีความเร็วและความเสถียรกว่า Wi-Fi 5 มาก ซึ่งอุปกรณ์ใหม่ ๆ จะรองรับการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi 6 ขึ้นไป เป็นค่าปกติกันแล้วไม่ว่าจะเป็น Smartphone, Tablet หรือ Gaming Notebook ขั้นต่ำของ Router ในสมัยนี้เลยควรเริ่มต้นที่ Wi-Fi 6 แล้วครับ
- ตัวเลขที่เขียนตามหลัง AX จะบอกถึงความเร็วสูงสุดที่ Router สามารถส่งออกมาได้เช่น AX1800, AX3000 หรือ AX6000 ยิ่งเลขเยอะยิ่งแปลว่าส่งออกได้เร็วแต่ว่าราคาก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ขอแนะนำว่า AX1800 นั้นเพียงพอสำหรับการใช้งานในบ้านที่แพ็คเกจอินเทอร์เน็ตซัก 500 Mbps แล้ว เล่นเกมหรือชมภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ได้แบบลื่น ๆ ไม่มีสะดุดแล้ว
ที่มา Canva
จำนวนเสากระจายสัญญาณของ Router
เรื่องต่อมาเลยการกระจายสัญญาณภายในบ้าน และเป็นไปอย่างที่ทุกคนคิดกันยิ่งมีเสาสัญญาณเยอะยิ่งกระจายสัญญาณได้เยอะและรวดเร็วมากขึ้น Router ในปัจจุบันนั้นมีเสาสัญญาณกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งรุ่นท็อป ๆ นั้นมีถึง 8 เสากันเลยทีเดียว การที่มีเสากระจายสัญญาณมากขึ้นนอกจากจะเพิ่มความเร็วโดยรวมของอินเทอร์เน็ตแล้วยังช่วยลดการแย่งอินเทอร์เน็ตกันใช้ได้อีกด้วย เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางการขนส่งข้อมูล ทำให้สัญญาณที่ได้นั้นลื่นไหลและเสถียรมากขึ้น ซึ่ง Router ในสมัยนี้ขั้นต่ำควรเป็น 4 เสากันแล้วเพื่อการใช้งาน MU-MIMO 2×2 ลดการแย่งอินเทอร์เน็ตกันไปมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้งานภายในบ้าน
ช่องเชื่อมต่อของ Router
สำหรับการใช้งานเสียบสาย Eternet เพื่อเชื่อมต่อเพราะยังไงสำหรับเหล่าเกมเมอร์ ไวไฟมักมีความหน่วงที่ไม่สามารถตอบสนองได้ทันในสมรภูมิที่ตัดสินกันเพียงเสี้ยววินาทีอยู่แล้ว การลดความหน่วงของอินเทอร์เน็ตลงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากจึงควรมีพอร์ตเชื่อมต่อที่เป็นพอร์ต LAN Gigabit ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณผ่านสายได้สูงสุดถึง 1000 Mbps ซึ่งมากกว่าพอร์ต LAN ธรรมดาหลายเท่า (10/100 Mbps) นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงจำนวนช่องให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ใช้งานด้วย ทั้งคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป ตัวกระจายสัญญาณ wifi ล้วนต้องแย่งช่องเชื่อมต่อกันทั้งนั้น รวมถึงการมีช่อง USB ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื่อมต่อกับเครื่องปริ้นเตอร์หรือแฟรชไดรฟ์เพื่อการใช้งานผ่านในเครือข่ายเดียวกันได้ทันที
ที่มา Canva
ฟังก์ชันที่ควรมีของ Router
- อย่างแรกเลยต้องรองรับ MU-MIMO หรือการเชื่อมต่อสัญญาณหลายอุปกรณ์พร้อมกันโดยไม่ดึงอินเทอร์เน็ตของกันและกัน ซึ่งมักจะมีระบุอยู่ในรายละเอียดของ Router นั้น ๆ ว่ารองรับ MU-MIMO เท่าไหร่ ซึ่งใน Wi-Fi 6 นั้นสามารถรองรับได้สูงสุดถึง 8×8 ที่หมายถึงรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันถึง 8 เครื่องโดยความเร็วอินเทอร์เน็ตของเครื่องอื่น ๆ ไม่ตกนั่นเอง
- มีเทคโนโลยีกระจายสัญญาณทั่วถึง Beamforming โดยเจ้า Beamforming จะเป็นการพุ่งเป้าสัญญาณทะลุสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ไปที่อุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยตรง ต่างจากการกระจายสัญญาณทั่วที่จะกระจายออกรอบตัวแบบไม่มีทิศทาง ทำให้ในบางมุมของบ้านอาจจะเข้าไม่ถึงซึ่งเทคโนโลยี Beamforming จะเข้ามาช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ ถึงแม้จะนั่งเล่นเกม Nintendo Switch ที่อีกมุมของบ้าน สัญญาณก็จะยังคงเสถียรอยู่เสมอ
- รองรับระบบ Mesh Wi-Fi ฟังก์ชันนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีบ้านหลายชั้นหรือมีบ้านที่มีพื้นที่กว้างและจำเป็นต้องมีตัวกระจายสัญญาณ wifi ระบบนี้จะช่วยให้การเชื่อมต่อ Wi-Fi ภายในบ้านของคุณนั้นสะดวกสบายมากขึ้นเพราะจะช่วยทำให้สัญญาณไวไฟภายในบ้านทั้งหมดของคุณอยู่ในเครือข่ายเดียวกันโดยไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่เมื่อออกนอกเขตสัญญาณ สามารถเดินถือสายประชุมงานรอบบ้านได้อย่างไม่ติดขัด
ที่มา Canva
แบรนด์ของ Router
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนมองข้ามแต่อย่างที่กล่าวไว้ตอนแรก Router นั้นเป็นอุปกรณ์ที่เมื่อเราเปิดใช้งานแล้วเรามักจะไม่แยแสมันเลยจนกว่ามันจะมีอันเป็นไปบางอย่าง หลุดบ้าง กระตุกบ้าง สัญญาณขาดตอนบ้าง ซึ่งปัญหาเหล่านี้นั้นเกิดขึ้นได้จากทั้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและปัญหาที่เกิดขึ้นภายในตัว Router เองดังนั้นเราควรจะเลือกแบรนด์ Router ที่เชื่อถือได้และที่สำคัญที่สุดคือมีศูนย์บริการในไทย เพื่อการเคลมประกันเมื่อเจ้า Router ของเราเกิดมีปัญหาขึ้นมาซึ่งแบรนด์ที่ดัง ๆ ก็มักจะมีประกันที่พร้อมเปลี่ยนเครื่องให้คุณตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีพเลย เช่น Router ของ Asus ที่มีประกันเครื่อง 3+2 ปี หรือ TP-Link Router ที่มีประกันสูงสุดให้คุณตลอดชีพ พร้อมเปลี่ยนเสมอถ้าอุปกรณ์มีปัญหา
ที่มา Canva
จริงอยู่ว่า Router ที่ราคาสูงขึ้นจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าดีกว่าแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงเลยคือแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ที่เราใช้งานอยู่ เกิดซื้อ Router ตัวแรงระดับ AX5400 มาแต่แพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้เป็น 1000/1000 Mbps หรืออุปกรณ์เรานั้นไม่สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้ สุดท้ายความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ได้ก็เท่ากับที่ผู้บริการอินเทอร์เน็ตส่งมาอยู่ดี ไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพของ Router ได้เต็มที่ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเพื่อป้องกันการเสียเงินโดยไม่จำเป็น หวังว่าทุกคนจะเข้าใจแล้วนะครับว่าต้อง เลือก Router ยังไงให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการใช้งานที่เสถียรและสามารถตอบสนองความต้องการของเพื่อน ๆ ได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ติดขัด ไม่ดับ ไม่หลุด อยู่ใช้งานไปด้วยกันได้ยาว ๆ